“นครซีอาน” อดีตราชธานีแห่ง 13 ราชวงศ์ของจีน ที่มีประวัติอันยาวนานมากกว่า 3,000 ปี โดยมีชื่อเดิมว่า “ฉางอัน” ซึ่งมีความหมายว่า “ความสงบสุขชั่วนิรันดร์” นครซีอานไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นเมืองเอกของมณฑลส่านซีที่เป็นจุดริเริ่มของเส้นทางสายไหมโบราณ ที่ปัจจุบันถูกฟื้นฟูผ่านข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นครซีอานได้รับการยกระดับทางด้านเศรษฐกิจ การคมนาคมและขนส่งสินค้า ตลอดจนการพัฒนาเมืองสู่ความเป็นสากลอย่างรอบด้าน

การศึกษาประวัติศาสตร์จะทำให้เราสามารถเข้าใจความเป็นมาและพฤติกรรมของคนในท้องถิ่นได้มากยิ่งขึ้น กิจกรรม One Day Trip ตามรอยประวัติศาสตร์นครซีอาน ณ พิพิธภัณฑ์นครซีอานครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียนที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซีอานริเริ่มจัดขึ้น เพื่อเป็นโอกาสเพิ่มพูนทักษะการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของนครซีอานแก่นักศึกษาไทยในนครซีอาน โดยสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ชวนนักศึกษาไทยจาก Xi’an Jiaotong University, Northwestern Polytechnical University, Northwest University, Xi’an International Studies University, Shaanxi Normal University จำนวน 20 คน เข้าชมพิพิธภัณฑ์นครซีอาน โดยชมส่วนจัดแสดงประวัติการก่อตั้งนครฉางอันในอดีต ซึ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์สุยในชื่อเดิมว่า “เมืองต้าซิ่ง” (大兴) จากนั้นจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “นครฉางอัน” ในสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งนี้ ในอดีตนครฉางอันเป็นแหล่งรวมสินค้าหายากจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยเพราะเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหมโบราณที่เป็นศูนย์รวมของพ่อค้าวานิชจำนวนมาก นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้เยี่ยมชมวัดเจดีย์ห่านป่าเล็ก (Small Wild Goose Pagoda) หนึ่งในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ของนครซีอานที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ที่มีโครงสร้างภายในแข็งแกร่งจนสามารถรอดพ้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในอดีตมาได้ และยังเป็นที่จัดเก็บสิ่งของมีค่าของราชวงศ์หลายยุคหลายสมัย

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมฯ สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารไทยแก่คณะนักศึกษา โดยกงสุลใหญ่ฯ ได้กล่าวกับน้อง ๆ ว่า “กิจกรรมในวันนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สถานกงสุลใหญ่ฯ เห็นว่าจะช่วยเสริมสร้างความรับรู้และความเข้าใจนครซีอานให้แก่นักศึกษาได้มากขึ้น เพราะเชื่อว่า การเรียนรู้ไม่ควรหยุดอยู่เพียงแค่ในห้องเรียน หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองที่เรามาเล่าเรียน ก็จะทำให้เราได้เข้าใจถึงความเป็นมาของขนบ ธรรมเนียม และประเพณีดั้งเดิมตลอดจนมุมมองและพฤติกรรมของคนท้องถิ่น อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน เข้าใจกันและกัน และมีความสุข”